โอกาสเป็นฮับการบินของไทย

Script Writer
อาริยา สุขโต, วิทยากรชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานบริการวิชาการ 2 สำนักวิชาการ
Broadcast Date
2024-09
Publication type
Publisher
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักวิชาการ
สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา

 

การแพร่ระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในปี 2563 และ 2564 ส่งผลกระทบรุนแรงทำให้ธุรกิจการบินทั่วโลกมีผลดำเนินงานขาดทุน หลังจากนั้นในปี 2565 ธุรกิจสายการบินทยอยฟื้นตัวจากการฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วโลก ส่งผลให้เกือบทุกประเทศทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศเพื่อกระตุ้นให้มีการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้น 

ธุรกิจสายการบินของไทยในปี 2565 มีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น สอดคล้องกับทิศทางของสายการบินทั่วโลก เป็นผลจาก 

  1. (1) การบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส COVID-19 ครอบคลุมประชากรมากกว่าร้อยละ 70 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อลดลง ทำให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2565 และทยอยเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 
  2. (2) มาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวทั้งกลุ่มผู้เดินทางชาวไทย โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 และสำหรับชาวต่างชาติ มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นระยะ ๆ 
  3. (3) เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 2.6 และ 
  4. (4) เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าถึงร้อยละ 12 ซึ่งมากที่สุดในรอบ 16 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 28 กันยายน) เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ผู้โดยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศกลับมาเดินทางเพิ่มขึ้น และสายการบินเพิ่มปริมาณเที่ยวบินและขยายเส้นทางบินทั้งในและระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

จากสัญญาณการฟื้นตัวในเชิงบวก คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้ปี 2566-2568 ธุรกิจขนส่งทางอากาศจะมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขนส่งผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศจะเติบโตตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนรองรับการเติบโตที่เกิดขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลาง (HUB) การบินในภูมิภาคและระดับโลกในอนาคต ส่วนบริการขนส่งสินค้าทยอยฟื้นตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่การแข่งขันด้านราคามีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ในช่วง ปี 2565 ที่ยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน ทำให้สถานการณ์ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับสูงขึ้น ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ต้นทุนการดำเนินการมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น เกิดปัจจัยท้าทายของธุรกิจ ได้แก่ ราคาเชื้อเพลิงทรงตัวสูง เพิ่มภาระต้นทุนแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ให้บริการต่างชาติรายใหญ่

ทั้งนี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. ได้จัดทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินปี 2565-2568 ภายใต้กรอบแนวคิดที่มุ่งเน้นให้อุตสาหกรรมการบินสามารถ “อยู่รอด เข้มแข็ง และยั่งยืน” โดยช่วงปี 2566-2567 เป็นการดำเนินการในระยะกลาง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับ/เพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรมการบินภายใต้ยุทธศาสตร์ ระยะ 5 ปี ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ไม่เพียงแต่การขยายตัวของเที่ยวบินจากต่างประเทศเข้าไทยเท่านั้น มีการขออนุญาตจัดตั้งสายการบินใหม่สัญชาติไทยเพิ่มขึ้น ปัจจุบันสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้อนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการค้าขายการเดินอากาศ (Air Operating License) หรือ AOL ให้แก่สายการบินใหม่ของไทยแล้ว 9 สายการบิน ที่อยู่ระหว่างรอการพิจารณาการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ (Air Operator Certificate) หรือ AOC เพื่อให้สามารถปฏิบัติการบินได้ โดยให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยว ทำให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มศักยภาพของสนามบินหลายแห่งและการขนส่งทางอากาศเพื่อรองรับการเดินทางเข้าไทยที่มีเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทรวงคมนาคม มีแผนจะดำเนินการใน 3 ระยะในการเปิดประตูการค้า การท่องเที่ยว สร้างการเป็น HUB เพื่อการเชื่อมโยงการเดินทางทุกมิติ ได้แก่

  1. (1) การดำเนินงานระยะเร่งด่วนภายใน 1 ปี ดำเนินการจัดสรรเวลาการบินให้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ต่อสัปดาห์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น 
  2. (2) การดำเนินงานระยะกลาง 1-3 ปี ที่มุ่งเน้นถึงการเพิ่มศักยภาพของท่าอากาศยานที่มีอยู่ในปัจจุบัน 
  3. (3) การดำเนินงานระยะยาว 5-7 ปี คือการพัฒนาขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญที่มีข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ เช่น การก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานล้านนา และท่าอากาศยานพังงา (ภูเก็ตแห่งที่ 2) หรือท่าอากาศยานอันดามัน โดยสอดคล้องกับแผนแม่บทการจัดตั้งสนามบินพาณิชย์ของประเทศที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้จัดทำไว้ ซึ่งคาดว่าเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้น 50 ล้านคนต่อปี

ในอนาคตธุรกิจการบินต้องให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและต้นทุนด้านพลังงาน ซึ่งมากกว่าร้อยละ 70 ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาจากการบินเชิงพาณิชย์ทั่วโลก ในอนาคตอาจต้องมีการปรับปรุงพาหนะให้ทันสมัยและเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงที่ยั่งยืน ปัจจุบันสายการบินต่าง ๆ กำลังพัฒนาเครื่องบินสำหรับเที่ยวบินระยะสั้นให้เป็นระบบไฮบริด-ไฟฟ้า (hybrid-electric) แบตเตอรี่ไฟฟ้า (battery-electric) และระบบไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (hydrogen-fuel-cell-electric) โดยมอบหมายให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยศึกษาและกำหนดมาตรการเรื่องการใช้น้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO กำหนด โดยทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางเพื่อรองรับการฟื้นตัวใหม่ของธุรกิจการบินที่จะเกิดขึ้น เพื่อก้าวไปสู่การเป็นฮับการบินในภูมิภาคระดับโลกในอนาคต

ภาพปก