ประวัติพิพิธภัณฑ์รัฐสภา
พิพิธภัณฑ์รัฐสภาได้จัดตั้งขึ้นและเริ่มดำเนินการจัดแสดงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517 เป็นหน่วยงานหนึ่งในศูนย์บริการเอกสารและค้นคว้า สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา โดยให้มีหน้าที่รวบรวมและเก็บรักษาเอกสารและวัสดุต่าง ๆ ที่เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อประโยชน์ในการศึกษาถึงวิวัฒนาการการเมืองการปกครองของไทย ในเริ่มแรกพิพิธภัณฑ์รัฐสภามีสถานที่ทำการอยู่บริเวณเดียวกันกับห้องสมุดรัฐสภา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของตึกเอ (ปัจจุบันคืออาคารรัฐสภา 1)
พ.ศ. 2519 ได้มีโครงการปรับปรุงห้องโถงชั้นล่างของพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ซึ่งได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้สถานที่แล้ว แต่ยังมิได้ดำเนินการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ขึ้น เนื่องจากในช่วงนั้นต้องมีการซ่อมแซมปรับปรุงพระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งเกิดความชำรุด ทำให้การจัดแสดงระงับไว้ชั่วคราวก่อน ในปี พ.ศ. 2521 พิพิธภัณฑ์รัฐสภาได้รับอนุญาตให้ย้ายจาก ชั้นล่างตึกเอ มาเปิดทำการและจัดแสดงอยู่ที่ชั้น 5 ตึกบี (ปัจจุบันคืออาคารรัฐสภา 3) จนกว่าจะมีการ ซ่อมแซมปรับปรุงพระที่นั่งอนันตสมาคมเสร็จเรียบร้อย
พ.ศ. 2523 ได้มีการเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารรัฐสภา 1 พร้อมทั้งให้เปิดห้องใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ให้มาจัดแสดง ใช้ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา และมอบหมายให้หน่วยงานพิพิธภัณฑ์รัฐสภา รับผิดชอบในการบริหารจัดการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2527 นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานรัฐสภาในขณะนั้น ได้มีดำริให้สำนักงานเลขาธิการรัฐสภาดำเนินการปรับปรุงพระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อใช้เป็นห้องรับรองแขกระดับสูงของรัฐสภา พร้อมมีดำริให้ดำเนินการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมอีกครั้ง โดยมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองและสิ่งของที่ระลึก ที่รัฐสภาได้รับมอบจากต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา
การดำเนินการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้ดำเนินการเพียงระยะเวลาหนึ่ง จึงได้ย้ายมาจัดแสดงรวมอยู่ในสถานที่เดียวกันกับการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรองรับคณะผู้เข้าเยี่ยมชมรัฐสภา ได้แก่ คณะนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งในสถานที่เดียวกัน
ในปี พ.ศ. 2541 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ. 2541 พร้อมมีการจัดตั้งสถาบันพระปกเกล้าขึ้น มีผลทำให้การจัดแสดงในส่วนของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโอนไปอยู่ในความรับผิดชอบของสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งในระยะเวลาต่อมาจึงได้มีการส่งมอบสิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ที่ได้จัดแสดงอยู่ ให้แก่สถาบันพระปกเกล้า เพื่อนำไปจัดแสดงใหม่ ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (อาคารกรมโยธาธิการเดิม) ถนนหลานหลวง เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ทำให้ห้องจัดแสดงใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ว่างลง จึงได้ดำเนินการปรับพื้นที่ใหม่ ทำเป็นห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์รัฐสภาเป็นการถาวรตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์รัฐสภาอยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุ สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
การจัดแสดง
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพเมื่อวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็น พระราชโอรสพระองค์สุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงเป็นเจ้าฟ้าพระอนุชาองค์สุดท้ายที่ร่วมพระบรมราชชนนีเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระเชษฐาตามลำดับ ดังนี้
- สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)
- สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
- สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
- สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
- สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา (พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7)
เมื่อมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา ทรงได้รับพระราชทานพระสุพรรณบัฏเฉลิมพระนามว่า “ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ”
ทรงศึกษาและรับราชการทหาร
ในปีพุทธศักราช 2447 ได้เสด็จไปศึกษาวิชาสามัญที่วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ประเทศอังกฤษ และทรงเข้าศึกษาต่อด้านวิชาการทหาร ณ โรงเรียนนายร้อยทหารบกที่เมืองวูวิช (Woolwich) ในปี พ.ศ. 2456
เมื่อเสด็จกลับเมืองไทยทรงเข้ารับราชการในกองทัพบก ณ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ โดยได้รับพระราชทานเลื่อนยศนายทหารสูงขึ้นตามลำดับ ต่อมาได้เสด็จเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหาร Ecole de Guerre ประเทศฝรั่งเศส โดยทรงสำเร็จการศึกษาในปีพุทธศักราช 2467
ทรงผนวช
ในปีพุทธศักราช 2460 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงลาราชการเพื่อทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วเสด็จประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวรวิหาร
ขณะที่พระองค์ทรงผนวชอยู่นั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเห็นว่าพระองค์เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์สุดท้ายน่าจะมิได้ทรงดำรงตำแหน่งทางราชการที่สำคัญ ๆ เทียบเท่ากับสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอทั้งหลายเป็นแน่ แต่ถ้าหากทรงดำรงอยู่ในสมณเพศตลอดไปแล้ว ย่อมจะทรงมีโอกาสเป็นใหญ่ในบรรดาพระสงฆ์อย่างแน่นอน จึงทรงแนะนำว่าควรจะทรงผนวชอยู่ตลอดไป อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธพระประสงค์นี้ โดยทูลตอบตามตรงว่าพระองค์ทรงมีความรักเสียแล้ว ประกอบกับเหตุผลอีกประการหนึ่ง คือ ข้อจำกัดทางด้านพระพลานามัยของพระองค์ที่ประชวรอยู่บ่อยครั้ง
อภิเษกสมรส
เมื่อทรงลาผนวชแล้วในปีพุทธศักราช 2461 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี (พระธิดาในเสด็จในกรมสมเด็จฯ พระสวัสดิวัดนวิสิษฐ์ และหม่อมเจ้าหญิงอาภาพรรณี) เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2461 ณ พระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางประอิน
เสด็จขึ้นครองราชย์
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เนื่องจากพระองค์ยังมิทรงมีพระมเหสีและพระราชโอรส ดังนั้นจึงทรงออกพระราชกฤษฎีกาประกาศตั้งองค์รัชทายาท เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ระบุให้ตำแหน่งรัชทายาทสืบทอดต่อกันในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอร่วมพระราชชนนีตามลำดับพระชนมายุ โดยเริ่มจากสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ จนกว่าพระองค์จะทรงมีพระราชโอรส แต่ในช่วงระยะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2463 - 2468 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทิวงคตและสิ้นพระชนม์ไปตามลำดับคือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จทิวงคตปี พ.ศ. 2463 สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย สิ้นพระชนม์ปี พ.ศ. 2466 และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา สิ้นพระชนม์ปี พ.ศ. 2467 เหลือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น จึงนับได้ว่าทรงเป็นองค์รัชทายาทโดยอนุโลมและจากความตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นต่อมาในปี พ.ศ. 2467 ก็มิได้มีข้อความประการใดที่จะเพิกถอนสิทธิในตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ทรงดำรงอยู่
ดังนั้น นอกเหนือจากหน้าที่ราชการในทางทหารแล้ว พระองค์จึงยังต้องทรงศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีการปกครองบ้านเมืองและราชการแผ่นดินตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเตรียมพระองค์ทางการปกครองในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท และไม่เพียงแต่ทรงศึกษาราชการแผ่นดินเท่านั้น บางครั้งในทางปฏิบัติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ทรงปฏิบัติราชการแทนพระองค์ในช่วงที่เสด็จพระราชดำเนินประทับอยู่นอกพระนคร ในการนี้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำหน้าที่ในการสั่งหนังสือราชการแทนพระองค์และประทับเป็นประธานในที่ประชุมเสนาบดีสภาด้วย ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่แทนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ต่อมาจึงได้เลื่อนพระเกียรติขึ้นเป็น “ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ” และหลังจากได้ทรงรับสถาปนาเป็นกรมหลวงไม่ทันถึงเดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 พระองค์จึงได้รับอัญเชิญขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินในวันเดียวกันนั้นเอง และทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 การเริ่มปีพุทธศักราชใหม่ของไทยในสมัยนั้น คือเดือนเมษายน) ทรงมีพระปรมาภิไธยใหม่ว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ” ซึ่งขณะนั้นทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 33 พรรษา พร้อมกับทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระวรชายา ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระนาง เจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ” ด้วย
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานอย่างแรงกล้าที่จะเห็นประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรัชกาลของพระองค์ ได้มีพระราชอุตสาหะให้มีการพัฒนาการเมืองอย่างมีขั้นตอนและสร้างสถาบันทางการเมืองขึ้น ในขณะที่สถาบันที่ทรงสร้างกำลังดำเนินการไปตามแนวทางนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เตรียมการร่างรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดตามแนวทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปพร้อมกัน แรกทีเดียวมีพระราชดำริว่าจะพระราชทานในวาระที่มีงานพระราชพิธีฉลองกรุงเทพมหานครครบรอบ 150 ปี ในปี พุทธศักราช 2475 แต่พระราชดำรินี้ต้องระงับไป เนื่องจากคณะอภิรัฐมนตรีสภายังไม่เห็นด้วยกับการพระราชทาน รัฐธรรมนูญ แต่ต่อจากนั้นอีก 2 เดือน ได้มีคณะบุคคลซึ่งเรียกตนเองว่า “ คณะราษฎร ” ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 และได้กราบบังคมทูลขอให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ภายหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรขึ้น และเมื่อผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และได้มีพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475
แม้ว่าพระองค์จะมีพระราชประสงค์ และจุดมุ่งหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย คือการให้อำนาจปกครองตนเองแก่ประชาชนมากขึ้น แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยกับหลักการและการกระทำของคณะราษฎรหลายประการ ประกอบกับพระสุขภาพพลานามัยเกี่ยวกับสายพระเนตร จึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศอังกฤษเพื่อทรงเข้ารับการผ่าตัดพระเนตร โดยเสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ออกจากพระนคร เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2476
ทรงสละราชสมบัติ
จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นสาเหตุให้พระองค์ทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติขณะประทับอยู่ ณ บ้านโนล แครนลี ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 และทรงประทับพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ณ ประเทศอังกฤษนั้นเอง โดยมิได้เสด็จนิวัติประเทศไทยอีกเลย จนกระทั่งเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ด้วยโรคพระหทัยวาย ขณะมีพระชนมายุ 48 พรรษา
ในปีพุทธศักราช 2492 คณะรัฐมนตรี ซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนาถ เสด็จกลับสู่ประเทศไทย และได้อัญเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐานยังหอพระบรมอัฐิ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสมอด้วยพระบรมอัฐิสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าในพระบรมราชจักรีวงศ์ สมพระเกียรติยศในฐานะพระมหากษัตริย์ทุกประการ
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คณะรัฐมนตรี ได้กำหนดให้วันที่ 30 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี เป็นวันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2545
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เวลาย่ำรุ่ง ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีคณะบุคคลที่เรียกว่า " คณะราษฎร " ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน โดยสายทหารบกมีนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นหัวหน้า สายทหารเรือ มีนายนาวาตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) เป็นหัวหน้า และสายพลเรือนมีอำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐมนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันทำการยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ และพระมหากษัตริย์ อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
คณะราษฎรประกาศแถลงการณ์ฉบับแรก
ในวันนั้นเป็นวันที่คณะราษฎรได้วางแผนและนัดหมายกันไว้ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ประกอบไปด้วยกำลังทหารบก ทหารเรือ และหน่วยรถถังพร้อมอาวุธ เมื่อถึงเวลานัดหมายเวลา 6 นาฬิกาตรง นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้อ่านแถลงการณ์ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรฉบับแรกต่อหน้าแถวทหาร ความในประกาศตอนหนึ่ง คือหลัก 6 ประการ ที่คณะราษฎรได้วางไว้เป็นหลักและยึดเป็นนโยบายบริหารประเทศต่อมา มีดังนี้
- จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในการเมือง ในทางศาล
- ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
- จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
- จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
- จะต้องให้ราษฎรได้สิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎร เช่นที่เป็นอยู่)
- จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
- จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎรโดยคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้มีการแต่งตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้น จำนวน 70 คน นับว่าประเทศไทยมีผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และได้เริ่มมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ณ ห้องโถงชั้นบนของพระที่นั่งอนันตสมาคม
เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก
การประชุมในวันนั้น เริ่มเวลา 14. 00 นาฬิกา โดยใช้ห้องโถงชั้นบนของพระที่นั่ง อนันตสมาคมเป็นที่ประชุม มีการจัดโต๊ะเก้าอี้เป็นรูปครึ่งวงกลม ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันเป็นการชั่วคราว
การประชุมในวันนั้น ยังไม่มีข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงได้นำเอา ข้อบังคับการประชุมของสภากรรมการองคมนตรีเฉพาะที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาใช้ไปพลางก่อน
ผู้แทนราษฎรปฏิญาณตน
ผู้แทนราษฎรที่ได้รับแต่งตั้งชุดแรก จำนวน 70 คน ได้กล่าวคำปฏิญาณตนต่อที่ประชุม มีความว่า
“ ข้าพเจ้า (ออกนามผู้ปฏิญาณตน) ขอให้คำปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ต่อคณะราษฎร และจะช่วยรักษาหลัก 6 ประการของคณะราษฎรไว้ให้มั่นคง
- จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง ในทางศาลในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง
- จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
- จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ จะร่างโครงการณ์เศรษฐกิจแห่งชาติไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
- จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน
- จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพ มีความเป็นอิสสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
- จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร ”
รัฐธรรมนูญฉบับสมุดไทย
ความเป็นมาและแนวคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับสมุดไทย
ภายหลังคณะราษฎรได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นผลให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม โดยทรงเติมคำว่า “ ชั่วคราว ” ไว้ต่อท้าย ทั้งนี้ ได้มีพระราชกระแสรับสั่งแก่คณะราษฎรว่าให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้นไปชั่วคราวก่อน แล้วจึงเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะอนุกรรมการร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นฉบับถาวรขึ้นใช้ต่อไป
ต่อมาวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะอนุกรรมการร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับใหม่ จำนวน 7 คน ประกอบด้วย
- พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
- พระยาเทพวิทุร
- พระยามานวราชเสวี
- พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์
- พระยาปรีดานฤเบศร์
- หลวงประดิษฐมนูธรรม
- หลวงสินาดโยธารักษ์
ต่อมาภายหลังได้มีการตั้งเพิ่มเติมอีก 2 คน คือ
- พระยาศรีวิสารวาจา
- พระยาราชวังสัน
ในระหว่างที่คณะอนุกรรมการฯ กำลังร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินอยู่นั้น ได้มีการเชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินด้วย ในการนี้หม่อมเจ้าวรรณไวทยากรวรวรรณ ได้ทรงแสดงความคิดเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ ให้เปลี่ยนชื่อเรียกพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินใหม่ โดยให้ใช้คำว่า “ รัฐธรรมนูญ ” แทน และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว
ต่อมาเมื่อคณะอนุกรรมการฯ ได้ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว จึงได้เสนอสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานคณะอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ขอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรนำร่างรัฐธรรมนูญกลับไปพิจารณาภายในเวลา 10 วัน โดยจะมาประชุมกันอีกครั้ง เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ถ้าสมาชิกคนใดมีข้อที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงประการใดให้เสนอเป็นญัตติมายังประธานสภาผู้แทนราษฎร 3 วัน ก่อนถึงวันประชุม แต่ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนท้วงติงว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสำคัญยิ่ง การให้เวลาเพียง 10 วันนั้น เป็นระยะเวลาที่สั้นไป ควรผ่อนเวลาไปอีกสัก 1 สัปดาห์ เพื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะได้ตรึกตรองให้ดีเสียก่อนแล้วจึงมาประชุมกัน แต่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ประธานอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวตอบว่า
“ ได้นำร่างรัฐธรรมนูญนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตร์ ทรงมีรับสั่งว่าเป็นที่พอพระราชหฤทัย และได้ทรงแนะนำว่าการประกาศรัฐธรรมนูญนั้นเป็นของสำคัญยิ่งใหญ่ ควรจะมีพิธีรีตอง จึ่งโปรดเกล้าฯ ให้โหรหลวงหาฤกษ์ยาม ได้ 3 ฤกษ์ ฤกษ์ 1 ตกวันที่ 1 ธันวาคม ฤกษ์ 2 ตกวันที่ 10 ธันวาคม ฤกษ์ 3 ตกไปกลางเดือนมกราคม จึ่งได้คิดว่าสำหรับฤกษ์ 1 นั้น เวลากระชั้นเกินไปคงไม่ทัน จึงได้กำหนดไว้เป็นวันที่ 10 ธันวาคม คือฤกษ์ 2 ส่วนฤกษ์ 3 นั้น เวลานานไป ฉะนั้นจึ่งอยากรีบเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้ทันในวันที่ 10 ธันวาคม โดยหวังว่า จะแล้วเสร็จจากสภาภายในวันที่ 30 เดือนนี้ โดยเราจะประชุมกัน ตั้งแต่ 4 โมงเช้าเรื่อย ๆ ไปทุกวันจนกว่าจะเสร็จ เพื่อให้แล้วก่อนฤกษ์ 10 วัน โดยทรงเห็นว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์และเป็นของที่ควรจะขลัง เพราะฉะนั้นต้องการจะเขียนใส่สมุดไทย ซึ่งจะกินเวลาหลายวัน ฉะนั้น จึ่งใคร่รีบประชุมเสียให้เสร็จก่อนกำหนดดังกล่าวแล้ว ”
ต่อมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เริ่มพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญภายหลังจากที่ได้ให้เวลาสมาชิกพิจารณาเป็นเวลา 10 วันแล้ว โดยที่ประชุมได้มีมติให้พิจารณาทีละมาตรา แล้วลงมติในแต่ละมาตรา รวม 68 มาตรา โดยสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลาพิจารณาตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน รวมทั้งสิ้น 5 วัน ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม
ต่อจากนั้น จึงได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นำไปเขียนลงในสมุดไทย รวม 3 ฉบับ และเมื่อได้ดำเนินการเสร็จแล้ว จึงได้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับสมุดไทยขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2547
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ถ้าหากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น และต้องผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติ และได้รับความเห็นชอบจากสภาแล้ว จะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ๆ มาเขียนลงในสมุดไทยก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ ซึ่งยึดถือปฏิบัติเป็นธรรมเนียมประเพณีที่สืบต่อมาจนกระทั่งปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญที่มีการจารึกลงในสมุดไทย
นับแต่ประเทศไทยได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี 2475 จนถึงปัจจุบัน ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น 18 ฉบับ แต่รัฐธรรมนูญที่มีการจารึกหรือเขียนลงในสมุดไทยนั้น จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านการร่างโดยกระบวนการนิติบัญญัติหรือผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้วเท่านั้น ซึ่งมีจำนวน 10 ฉบับ คือ
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 (แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495)
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550
ส่วนฉบับที่ประกาศใช้เป็นการชั่วคราว อันเนื่องมาจากการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินนั้นจะไม่มีการจารึกหรือเขียนลงในสมุดไทย ซึ่งมีจำนวน 8 ฉบับ คือ
- พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
- ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
- ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
- ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
- ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
สิ่งของจัดแสดง
หมุดเปลี่ยนแปลงการปกครอง (จำลอง)
ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการหล่อหมุดทองเหลืองเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้กระทำพิธีฝังหมุด เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2483 บริเวณลานพระราชวังดุสิต ณ เบื้องซ้ายของพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 ซึ่งจุดที่ฝังหมุดนั้น เป็นจุดที่นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ได้ยืนอ่านแถลงการณ์ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
หมุดนี้มีข้อความจารึกไว้ว่า
“ ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ ”
เครื่องใช้สำนักงาน
หลังจากประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จึงได้มีการตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้นจำนวน 70 คน และได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกในวันเดียวกัน ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
ในการประชุมสภา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จึงได้เริ่มขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในการดำเนินงานดังกล่าวได้หลงเหลือเครื่องใช้สำนักงานบางชิ้นไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชม และสะท้อนให้ทราบถึงประวัติการดำเนินงานในบางช่วงเวลาของการประชุมสภาและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในอดีตอีกด้วย
การจดชวเลขในการประชุมสภา
ภายหลังจากที่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ในการประชุมนั้นได้ใช้เจ้าหน้าที่จดชวเลขมาจดถ้อยคำในการประชุมสภา เพื่อนำมาทำรายงานการประชุมนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
หีบบัตรและบัตรเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ได้บัญญัติให้รัฐสภาเป็นแบบสองสภา ประกอบด้วย พฤฒสภาและสภาผู้แทนพฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกที่ราษฎรเลือกตั้ง มีจำนวน 80 คน ในวาระเริ่มแรก ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในตำแหน่งในขณะนั้น เป็นผู้เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภา เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2489
ในการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภาครั้งนั้น สมาชิกที่เป็นผู้เลือกจะทำเครื่องหมาย เพื่อเลือกผู้สมัครสมาชิกพฤฒสภาลงในบัตรเลือกตั้ง เมื่อทำการเลือกเรียบร้อยแล้ว จะนำบัตรเลือกตั้งใส่ซองที่แจกให้ และนำมาหย่อนใส่หีบบัตรเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง
การออกเสียงลงคะแนน
การออกเสียงลงคะแนน เป็นวิธีการลงมติของสมาชิกในที่ประชุม โดยใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนนโดยเปิดเผยหรือลับตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุม เช่น
- การยกมือขึ้น (พ้นศีรษะ) ยืนขึ้น เรียกชื่อสมาชิกเรียงลำดับอักษรให้ลงคะแนนเป็นรายบุคคล
- การใช้บัตรสีลงคะแนนโดยผู้เห็นด้วยให้ใช้บัตรสีน้ำเงิน ผู้ไม่เห็นด้วยให้ใช้บัตรสีแดง ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้ใช้บัตรสีขาว
- การลงเบี้ยสีโดยผู้เห็นด้วยให้ลงเบี้ยสีน้ำเงิน ผู้ไม่เห็นด้วยให้ลงเบี้ยสีแดง ส่วนผู้ไม่ออกเสียงให้ลงเบี้ยสีขาว
- การเขียนเครื่องหมายลงบนแผ่นกระดาษ ผู้เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายถูก (/ ) ผู้ไม่เห็นด้วยให้เขียนเครื่องหมายผิดหรือกากบาท (x) ส่วนผู้ที่ไม่ออกเสียงให้เขียนเครื่องหมายวงกลมหรือสูญ (0)
- การใช้เครื่องออกเสียงลงคะแนน
เอกสารสละราชสมบัติ
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 รัฐบาลหรือฝ่ายบริหารได้ การดำเนินงานและนโยบายการบริหารประเทศบางประการเป็นที่ขัดเคือง และไม่สอดคล้องกับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนนำไปสู่การตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ขณะประทับพร้อมสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ Knowle House เมือง Cranleigh มณฑล Surrey ประเทศอังกฤษ
ข้อความตอนหนึ่งในลายพระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง ตระหนักและเข้าพระทัยในคุณค่าและจิตวิญญาณของประชาธิปไตยอย่างแท้จริงว่า
“… ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร …”
ดาวน์โหลด
- ระเบียบจดหมายเหตุรัฐสภา
- แผ่นพับ : แนะนำพิพิธภัณฑ์รัฐสภา (ภาษาไทย)
- แผ่นพับ : แนะนำพิพิธภัณฑ์รัฐสภา (ภาษาอังกฤษ)
สถานที่ตั้งและการให้บริการ
ห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา
อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300
โทรศัพท์ 02 2442055-6, 02 2441059
โทรสาร 02 2442061
เปิดให้บุคคลผู้สนใจทั่วไปเข้าชมในเวลาราชการ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ระหว่างเวลา 09.00-16.00 นาฬิกา