ระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเป็นผู้ดำเนินการจัดสอบคัดเลือกเอง กระทั่งในปี 2504 ได้เปลี่ยนมาเป็นระบบกลางในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกว่า การสอบเอ็นทรานซ์ (Entrance) ซึ่งต่อมาได้ถูกยกเลิกในปี 2549 และได้เปลี่ยนมาเป็นระบบที่เรียกว่าแอดมิชชั่น (Admissions) แทน ซึ่งเป็นการใช้คะแนนเฉลี่ยสะสมของทุกวิชาที่ได้เรียนมาตลอดหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า (GPAX) คะแนนเฉลี่ยสะสมกลุ่มสาระการเรียนรู้ (GPA) คะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ต (O-NET) รวมถึงการทดสอบทางการศึกษาขั้นสูงหรือเอเน็ต (A-NET) มาเป็นองค์ประกอบอีกด้วย ทั้งนี้ การใช้ระบบแอดมิชชั่นก็ยังส่งผลให้มีปัญหาตามมา คือ โรงเรียนมีมาตรฐานการเรียนการสอนไม่เหมือนกัน จึงทำให้เกรดที่ได้แตกต่างกัน ดังนั้น ในปี 2553 จึงได้มีการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว โดยได้ให้มีการยกเลิกการสอบเอเน็ต และนำการสอบ GAT/PAT เข้ามาแทน โดย GAT เป็นการสอบความถนัดทั่วไป เช่น ความสามารถในการอ่าน/การเขียน/การคิดเชิงวิเคราะห์ และภาษาอังกฤษ เป็นต้น ส่วน PAT เป็นการสอบความถนัดวิชาชีพและวิชาการ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับปรุงระบบการสอบแอดมิชชั่นแล้ว แต่ก็ยังมีมหาวิทยาลัยอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงยืนยันจะเปิดจัดสอบคัดเลือกโดยตรงเอง โดยอ้างว่าไม่มั่นใจในระบบการคัดเลือกนักศึกษาใหม่ของส่วนกลาง อีกทั้งการเปิดจัดสอบคัดเลือกเองโดยตรงยังทำให้ได้เด็กที่ตรงตามความต้องการของมหาวิทยาลัยอีกด้วย แต่จากการที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีการจัดสอบโดยตรงเอง ขาดการประสานงาน ทำให้ผู้สมัครหนึ่งคนอาจมีชื่อสอบติดได้หลายมหาวิทยาลัย ส่งผลให้เกิดปัญหาการกันสิทธิที่เรียนกับผู้สมัครคนอื่นตามมา
จากปัญหาข้างต้น ในปี 2555 สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ). จึงได้มีการเพิ่มการจัดสอบ “วิชาสามัญ” ขึ้น เพื่อให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งนำคะแนนดังกล่าวไปใช้ในการรับตรงได้ โดยไม่ต้องจัดสอบเองในวิชาเหล่านี้ เช่น การรับตรงของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (กสพท.) ก็หันมาใช้คะแนนสอบวิชาสามัญนี้ ร่วมกับคะแนนสอบวิชาเฉพาะที่ทาง กสพท. จัดสอบเองเพิ่มเติม ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบรับตรงได้ ประเทศไทยจึงทำการปรับเปลี่ยนระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาอีกครั้งในปี 2561 จากระบบแอดมิชชั่น มาเป็นระบบ TCAS หรือ Thai University Center Admission System ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) โดยระบบ TCAS จะต่างกับการคัดเลือกที่ผ่านมา คือ การสอบคัดเลือกในแต่ละรอบเมื่อรับเสร็จจะทำการยืนยันสิทธิ์ (Clearing house) กล่าวคือ นักเรียน 1 คน มีสิทธิ์ในการยืนยันการเข้าศึกษาต่อในสาขาที่สอบได้ เมื่อยืนยันแล้ว ระบบจะตัดชื่อออกจากการมีสิทธิ์สมัครสอบในรอบต่อไป หากต้องการสมัครในรอบต่อไปต้องสละสิทธิ์ก่อน แต่หากมีการสมัครครั้งต่อไปโดยไม่สละสิทธิ์แล้วผ่านการคัดเลือกจะถือเป็นโมฆะ โดยระบบ TCAS มีหลักการสำคัญดังนี้ 1) นักเรียนควรอยู่ในห้องเรียนจนจบช่วงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) นักเรียนแต่ละคนมีเพียง 1 สิทธิ์ ในการตอบรับเข้าศึกษาในสาขาวิชาที่เลือก และ 3) นักเรียนไม่วิ่งรอกสอบ โดยเริ่มใช้เป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2561 โดยแบ่งเป็น 5 รอบตามลำดับ ดังนี้
แต่ปัจจุบันระบบ TCAS ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับจากจำนวน 5 รอบ ให้เหลือเพียง 4 รอบ โดยการควบรวมการสมัคร รอบ 3 และรอบ 4 ให้สมัครคัดเลือกพร้อมกัน เพื่อลดระยะเวลาการคัดเลือก คือ รอบที่ 1 การรับด้วย Portfolio รอบที่ 2 การรับแบบโควตา รอบที่ 3 การรับแบบ Admission และรอบที่ 4 การรับตรงอิสระ ซึ่งที่ผ่านมาการรับสมัครด้วยระบบ TCAS มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขกฎเกณฑ์มาโดยตลอด เช่น รอบการรับสมัคร ข้อสอบ เกรดเฉลี่ยที่ใช้ในการคิดคำนวณ
ดังนั้นบุคคลที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย จึงต้องติดตาม ศึกษา และทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ของระบบการคัดเลือกอยู่เสมอ เพื่อมิให้พลาดโอกาสในการเข้ารับการศึกษาต่อ
Copyright © 2022 National Assembly Library of Thailand
The Secretariat of the House of Representatives
1111 Samsen Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300, THAILAND
Tel: +66(0) 2242 5900 ex 5711, 5714, 5721-22 Fax: +66(0) 2242 5990
Email: [email protected]