แรงงานถือว่ามีความสำคัญในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิตสินค้าและบริการ และเป็นทุนมนุษย์ที่สามารถพัฒนาศักยภาพให้สูงขึ้นได้ เนื่องจากผู้ใช้แรงงานเป็นประชากรในวัยทำงานที่สามารถทำงานได้โดยใช้กำลังกายและความคิดที่มีหลายระดับความรู้ ความสามารถ อันเป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในระดับจุลภาคและระดับมหภาค โดยข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีประชากรวัยแรงงานหรืออายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 58.92 ล้านคน พบว่ามีผู้อยู่ในกำลังแรงงานคิดเป็นร้อยละ 68.65 สะท้อนถึงอุปทานแรงงานของประเทศไทยซึ่งประกอบด้วยประชากรที่มีงานทำหรือกำลังหางานทำในประเทศ จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ การบริหารจัดการด้านแรงงานดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระดับชาติและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากล โดยปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายด้านการแรงงานหลายฉบับ โดยสามารถแบ่งเป็นหมวดหมู่สำคัญได้ 5 กลุ่ม ดังนี้
2. กลุ่มการคุ้มครองแรงงานในลักษณะของการแรงงานสัมพันธ์และการระงับข้อพิพาทแรงงาน โดยกฎหมายในกลุ่มนี้มีเนื้อหามุ่งเน้นการเจรจาต่อรองเพื่อสันติสุขในสังคมแรงงาน และวิธีการระงับข้อพิพาทแรงงานด้วยกระบวนการและรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่
3. กลุ่มความมั่นคงทางสังคม โดยกฎหมายในกลุ่มนี้มีเนื้อหามุ่งเน้นกำหนดสิทธิประโยชน์ทดแทน เพื่อเยียวยาและบรรเทาความเสียหายอันเกิดจากภัยทางสังคม ได้แก่
4. กลุ่มการคุ้มครองแรงงานพิเศษสำหรับการใช้แรงงานเอกชนบางประเภท โดยกฎหมายในกลุ่มนี้มุ่งกำหนดเงื่อนไขการคุ้มครองสิทธิแรงงานให้กับคนทำงานในบางอาชีพที่มีบริบทเฉพาะ เพื่อให้กฎเกณฑ์การจ้างงานมีความสอดคล้องกับสภาพการทำงานและลักษณะงานที่แท้จริง ได้แก่
5. กลุ่มการคุ้มครองบุคลากรของรัฐ โดยกฎหมายในกลุ่มนี้มุ่งคุ้มครองสิทธิแรงงานให้กับบุคลากรภาครัฐที่มี “ประโยชน์สาธารณะ” เป็นตัวแปรสำคัญ ทำให้การคุ้มครองสิทธิแรงงานบางเรื่องอาจถูกจำกัดตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ได้แก่ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เป็นกฎหมายที่มีเนื้อหาส่วนใหญ่คล้ายกับกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ แต่มีรายละเอียดบางเรื่องที่แตกต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการยื่นเรื่องดำเนินกระบวนการในการแจ้งข้อเรียกร้อง การกำหนดห้ามนัดหยุดงานและปิดงานในภาครัฐวิสาหกิจ ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยมีเจตนารมณ์เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่ายว่ามีสิทธิ หน้าที่ และมีความรับผิดชอบต่อกันอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับด้านการแรงงานของประเทศไทยส่วนใหญ่มีสาระสำคัญและโครงสร้างของกฎหมายที่มีหลักการคล้ายกัน อาทิ มีเนื้อหาสาระที่มุ่งหมายให้การคุ้มครองหรือบริหารจัดการด้านแรงงานในเรื่องนั้น ๆ มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กำหนดหรือขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ มีกลไกหรือวิธีปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย มีกองทุนเพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมหรือคุ้มครองแรงงาน รวมถึงสภาพบังคับและบทลงโทษในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
Copyright © 2022 National Assembly Library of Thailand
The Secretariat of the House of Representatives
1111 Samsen Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300, THAILAND
Tel: +66(0) 2242 5900 ex 5714, 5715, 5721-22 Fax: +66(0) 2242 5990
Email: library@parliament.go.th