ประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aged Society) มาตั้งแต่ปี 2548 กล่าวคือ มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ อันเป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวขึ้น และในปี 2574 จะเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอด (Super Aged Society) โดยมีประชากรสูงอายุเพิ่มสูงถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด การที่ประชากรวัยสูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศต้องมีรายจ่ายด้านสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ครอบครัวต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ขณะที่ผู้สูงอายุเองต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ปัญหาการเจ็บป่วยจากโรคเรื้อรัง ความพิการหรือทุพพลภาพ และปัญหาการขาดผู้ดูแล เนื่องจากสภาพครอบครัวไทยเปลี่ยนแปลงเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญ
ภาครัฐ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้จัดให้มี “โรงเรียนผู้สูงอายุ” กล่าวคือ การจัดการศึกษาที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตผ่านหลักสูตรการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุใน 6 มิติ ได้แก่
นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้สร้างพื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุบนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและภาคีเครือข่าย
การเกิดขึ้นของโรงเรียนผู้สูงอายุยังสอดคล้องกับพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2554 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) และแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 3 (พ.ศ.2566-2580) ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาศักยภาพของบุคคลอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงเรียนผู้สูงอายุกว่า 2,456 แห่ง (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2567) เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาศักยภาพแกนนำผู้สูงอายุและชมรมผู้สูงอายุให้สามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพื้นที่ทำกิจกรรม เกิดการพึ่งพาตนเอง สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพ รวมทั้งลดภาวการณ์เป็นผู้สูงอายุที่ติดบ้านหรือติดเตียงและลดภาระการดูแลผู้สูงอายุของครอบครัว กรมกิจการผู้สูงอายุคาดการณ์ว่าจะขยายผลการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุประจำจังหวัดทั่วประเทศได้เสร็จสิ้นในปี 2570 โดยจะดำเนินการเพิ่มการจัดตั้งปีละ 1,067 แห่ง
อย่างไรก็ตาม พบว่าการดำเนินการของโรงเรียนผู้สูงอายุประสบปัญหาในบางประการ ได้แก่ การขาดความรู้และทักษะในการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ การขาดงบประมาณในการดำเนินงาน การศึกษาดูงานจากหน่วยงานภายนอกที่มีผลต่อเวลาและเนื้อหาการเรียนการสอน การขาดแคลนสถานที่สำหรับใช้เป็นห้องเรียนและสถานที่จัดกิจกรรม ความแตกต่างของผู้เรียน ฯลฯ ดังนั้น ภาครัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรส่งเสริมและสนับสนุนปัจจัยความสำเร็จของโรงเรียนผู้สูงอายุ อาทิ
ดังนั้น หากภาครัฐต้องการบรรลุเป้าหมายการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุประจำจังหวัดทั่วประเทศและส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงเรียนผู้สูงอายุควบคู่กันไป ภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนเรื่องการออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดตั้งงบประมาณที่เหมาะสม การจัดสถานที่สำหรับใช้เป็นโรงเรียนผู้สูงอายุ การแสวงหาความร่วมมือจากผู้สูงอายุที่เป็นปราชญ์ชาวบ้านหรือแกนนำผู้สร้างอายุให้เข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมของโรงเรียนเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนกับชุมชน และแนวทางการถ่ายโอนภารกิจโรงเรียนผู้สูงอายุให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการถ่ายโอนทั้งภารกิจและงบประมาณดำเนินการ
Copyright © 2022 National Assembly Library of Thailand
The Secretariat of the House of Representatives
1111 Samsen Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300, THAILAND
Tel: +66(0) 2242 5900 ex 5714, 5715, 5721-22 Fax: +66(0) 2242 5990
Email: library@parliament.go.th