ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการศึกษาซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างเท่าทัน จึงเกิดแนวคิดสะเต็มศึกษา (STEM Education) เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่เน้นการท่องจำ แต่ให้ความสำคัญกับการลงมือปฏิบัติจริงโดยบูรณาการศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมวิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) ในการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนสำหรับการเผชิญกับความท้าทายในโลกยุคใหม่ที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำให้มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะและความรู้ในด้านสะเต็มเพิ่มขึ้น การศึกษาในด้านสะเต็มจึงมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้
ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของสะเต็มศึกษาและได้เริ่มพัฒนาในระดับต่าง ๆ โดยมีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาและการพัฒนาความรู้ของครู เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มและความต้องการของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเทศไทยยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ อาทิ การขาดแคลนทรัพยากรและอุปกรณ์การศึกษา การขาดทักษะและความรู้ของครู รวมถึงความไม่เข้าใจในความสำคัญของสะเต็มศึกษาของบางกลุ่มประชากร การพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเทศไทยไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการศึกษาให้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการลงทุนในอนาคตของประเทศ การสร้างฐานความรู้และทักษะในด้านสะเต็มจะช่วยให้เยาวชนสามารถเผชิญกับความท้าทายทางเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาและนวัตกรรมที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของประเทศในยุคดิจิทัล ด้วยการสนับสนุนจากภาคเอกชน การร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศและการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน การพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนให้เกิดผลลัพธ์ที่สำคัญและยั่งยืน การทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการศึกษา และเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนเข้าสู่โลกแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ แนวทางการพัฒนาสะเต็มศึกษา ประกอบด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาสะเต็มศึกษาในประเทศไทยมีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคตได้อย่างเต็มที่ จึงควรมีการปรับปรุงและบูรณาการหลักสูตรการศึกษา ในระดับประถมและมัธยมให้มีการบูรณาการศาสตร์ทั้ง ๔ ด้านอย่างลงตัว แทนการสอนแต่ละวิชาแยกกัน การออกแบบหลักสูตรควรให้มีการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างวิชาและเน้นการแก้ปัญหาจริง อาทิ การจัดโครงการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น หรือการพัฒนาโครงการที่ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาทางสังคม การส่งเสริมการเรียนรู้ในรูปแบบการเรียนรู้โดยให้ปฏิบัติจริง (Hands-On) โดยจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้แบบปฏิบัติ อาทิ การทดลอง การสร้างสิ่งประดิษฐ์และการใช้เทคโนโลยี จะช่วยกระตุ้นความสนใจและเพิ่มความเข้าใจในด้านสะเต็มศึกษา การนำเสนอการเรียนรู้ที่สามารถสัมผัสและทดลองได้จริง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการใช้งานจริงของทฤษฎีที่เรียนรู้ การพัฒนาความรู้และทักษะของครู โดยมีการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของครู การฝึกอบรมครูเพื่อเพิ่มทักษะในการใช้เทคโนโลยีทันสมัย การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่กระตุ้นความสนใจของนักเรียน และการพัฒนาวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลายจะช่วยให้ครูสามารถสอนสะเต็มศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดประชุมหรือการสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับสะเต็มศึกษาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ครูได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่ทันสมัย และการใช้เทคโนโลยีและการส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม โดยมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ การเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และเครื่องมือการศึกษาเชิงโต้ตอบ จะช่วยให้การศึกษาในด้านสะเต็มมีความน่าสนใจและเข้าถึงได้ง่าย การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และเปิดโอกาสให้กับนักเรียนในการเข้าถึงข้อมูลที่ทันสมัย รวมทั้งการสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสในการสร้างนวัตกรรมและการทดลองใหม่ ๆ จะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดค้นและการพัฒนานวัตกรรมจะช่วยเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการเผชิญกับความท้าทายในอนาคต
Copyright © 2022 National Assembly Library of Thailand
The Secretariat of the House of Representatives
1111 Samsen Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300, THAILAND
Tel: +66(0) 2242 5900 ex 5714, 5715, 5721-22 Fax: +66(0) 2242 5990
Email: library@parliament.go.th