การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจถือเป็นการร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอย่างเป็นทางการเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ลดข้อจำกัดระหว่างกัน และรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน โดยประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asia Nation : ASEAN) ประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน เวียดนาม เมียนมา ลาว และกัมพูชา ร่วมมือกับประเทศภาคีอีก 5 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) โดยมีจุดมุ่งหมายในการขจัดอุปสรรคทางการค้าและส่งเสริมการลงทุน เพื่อช่วยให้ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ก้าวทันประเทศอื่นในโลกได้ และถือเป็นความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากครอบคลุมประชากรในประเทศสมาชิกกว่า 2.2 พันล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรโลก มีขนาดผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของประเทศสมาชิกรวมกันกว่า 26.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 30 ของ GDP โลก
RCEP ไม่เพียงแต่เป็นข้อตกลงด้านการค้าสินค้าและบริการ หรือการลดมาตรการกีดกันทางการค้าที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษีเท่านั้น แต่ RCEP ยังมีกฎเกณฑ์ที่ครอบคลุมการเปิดเสรีในเชิงลึก คือ การขยายความตกลงไปจนถึงเรื่องการลงทุน การบริการ และการเปิดกว้างในประเด็นการค้ายุคปัจจุบัน เช่น การแข่งขันทางการค้า การค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างรัฐสมาชิก การอำนวยความสะดวกในการค้ายุคใหม่ การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ความโปร่งใสของกฎระเบียบ นอกจากนี้ ยังมีการบูรณาการเชิงกว้าง คือ การเปิดรับสมาชิกต่าง ๆ ที่สนใจสมัครเข้าร่วมในความตกลงอีกด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีมิติที่ลึกกว่ากรอบความตกลงอาเซียน ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อประเทศไทยได้เข้าร่วมความตกลง RCEP ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 แล้ว สิ่งที่อาจจะส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของประเทศไทย มีดังนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์จากความตกลง RCEP ประเทศไทยต้องปรับตัวให้สอดรับกับมาตรฐานที่สูงขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับรองรับการทำความตกลงต่อไปในอนาคต รวมถึงการยกระดับภาคการผลิตของประเทศไทยให้สอดคล้องกับความต้องการที่ทันกระแสโลก สำหรับผู้ประกอบการภาคเอกชนและภาครัฐ ต้องเร่งดำเนินการเตรียมตัวและปรับตัวให้เร็ว โดยจะต้องศึกษากฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำความเข้าใจและเปรียบเทียบข้อตกลงใดให้สิทธิประโยชน์มากกว่ากัน และต้องพิจารณาถึงต้นทุนในการใช้สิทธิประโยชน์ด้วยว่า ความตกลงใดช่วยให้ต้นทุนทางธุรกิจต่ำที่สุดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการแข่งขันทางการค้า
Copyright © 2022 National Assembly Library of Thailand
The Secretariat of the House of Representatives
1111 Samsen Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300, THAILAND
Tel: +66(0) 2242 5900 ex 5711, 5714, 5721-22 Fax: +66(0) 2242 5990
Email: [email protected]