โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4

เมื่อกล่าวถึงโครงการที่ช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้กับประชาชนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประชาชนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึง “โครงการคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐได้ดำเนินการเพื่อรักษาแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านการเพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ทั้งทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าสูงขึ้น โดยผู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้จะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีบัตรประจำตัวประชาชน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่กำหนด หรือไม่เป็นผู้ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โดยโครงการคนละครึ่งได้มีการดำเนินการมาแล้ว 3 ระยะ มีผู้ได้รับสิทธิจำนวน 27.98 ล้านราย ซึ่งระยะที่ 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2563) รัฐสนับสนุนให้คนละ 3,000 บาท ระยะที่ 2 (มกราคม-มีนาคม 2564) รัฐสนับสนุนให้คนละ 3,500 บาท สำหรับผู้ที่เข้าร่วมระยะที่ 1 ได้รับเพิ่มคนละ 500 บาท และระยะที่ 3 รัฐสนับสนุนให้คนละ 3,000 บาท แบ่งเป็น 2 รอบ (รอบที่1 กรกฎาคม-กันยายน 2564 และรอบที่ 2 ตุลาคม-ธันวาคม 2564 รัฐสนับสนุนให้คนละ 1,500 บาทต่อรอบ)

ปัจจุบันโครงการคนละครึ่ง ได้ดำเนินการในระยะที่ 4 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 ภาครัฐจะสนับสนุนเงินในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน และมีวงเงินให้คนละ 1,200 บาท โดยประชาชนผู้ได้รับสิทธิคนละครึ่งเดิม จำนวน 27.98 ล้านราย จะต้องยืนยันสิทธิเพื่อเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่านแอฟพลิเคชัน “เป๋าตัง” ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป และต้องเริ่มใช้สิทธิภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 หากพ้นระยะเวลาที่กำหนดจะถูกตัดสิทธิ สำหรับประชาชนทั่วไปที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมา สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 จนกว่าจะครบจำนวนประมาณ 1 ล้านสิทธิ ผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com และก่อนใช้สิทธิครั้งแรกจะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนที่สาขาหรือตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ยกเว้นผู้ที่เคยยืนยันตัวตนกับธนาคารกรุงไทยแล้วไม่ต้องดำเนินการซ้ำ และจะใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 30 เมษายน 2565

สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าสามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป จนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัครผ่านทาง www.คนละครึ่ง.com และผู้ที่เคยเข้าร่วมมาตรการ/โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้วสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันถุงเงินได้ทันทีการใช้จ่ายเงินคนละครึ่งที่รัฐสนับสนุนวงเงินร่วมจ่ายแก่ประชาชน สามารถนำไปใช้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และบริการกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์โดยภาครัฐ (g-Wallet) บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้จ่ายได้ภายในช่วงเวลา 06.00-23.00 นาฬิกา ของทุกวันเท่านั้น สำหรับสินค้าและบริการที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง จะประกอบด้วยสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล บัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า 

นอกจากนี้ ในยุคที่มีการพัฒนารูปแบบการให้บริการด้านการขายสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่มีการจัดส่งถึงที่หรือที่เรียกว่า Delivery โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ยังคงให้สามารถใช้จ่ายผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ได้ด้วย แต่รัฐจะสนับสนุนในส่วนของค่าอาหารและ/หรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่นใด และมีช่วงระยะเวลาในการใช้คือ 06.00-21.00 นาฬิกาของทุกวัน

แม้โครงการคนละครึ่งจะมีผลดีต่อผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากทำให้มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง แต่จากโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมาทั้ง 3 ระยะ ปรากฏข่าวเกี่ยวกับเรื่องภาษีของผู้ประกอบการรายย่อยบางรายที่มีรายได้ถึงเกณฑ์จะต้องชำระภาษีเงินได้ และรัฐได้มีหนังสือแจ้งเตือนเกี่ยวกับการชำระภาษีเงินได้ประจำปีไปแล้วนั้น อาจส่งผลให้บางร้านค้างดการสแกนรับชำระเงินผ่านโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 นี้ สำหรับประชาชนที่จะซื้อสินค้าหรือบริการผ่านโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 อาจจะต้องสอบถามทางร้านค้าก่อนที่จะมีการซื้อสินค้าและบริการแม้ที่ผ่านมาร้านค้านั้นอาจจะใช้ได้ แต่รอบนี้อาจจะต้องสอบถามเพื่อความแน่ใจด้วย  

โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 เป็นโครงการที่รัฐออกมาตรการมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับการลดภาระค่าใช้จ่ายในการครองชีพและเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่การบริหารจัดการการเงินของประชาชนก็ควรที่จะต้องคำนึงถึงความพอเพียงสำหรับการใช้จ่ายในภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีปัญหาสินค้าราคาสูงขึ้น