กฎหมายตราสามดวง

ผู้เรียบเรียง :
สุเมฆ จีรชัยสิริ, นิติกรปฏิบัติการ กลุ่มงานบริการวิชาการ 3 สำนักวิชาการ
วันที่ออกอากาศ :
2562-10
ประเภทสิ่งพิมพ์ :
หน่วยงานที่เผยแพร่ :
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักวิชาการ
สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา

 

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้ความหมายของ "กฎหมายตราสามดวง"ว่าหมายถึง ประมวลกฎหมายโบราณของไทยซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ชำระและปรับปรุงแก้ไขตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วนำมารวบรวมเป็นหมวดหมู่เป็นสัดเป็นส่วนรวมได้จำนวน 26 ส่วน เมื่อสำเร็จแล้วได้ประทับดวงตราพระราชสีห์ พระคชสีห์ และบัวแก้ว ไว้เป็นสำคัญ จึงเรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง"หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1 " นับเป็นกฎหมายฉบับแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และยังเป็นกฎหมายที่สะท้อนความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ทั้งด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของชาติไทยได้เป็นอย่างดี

กฎหมายไทยได้รับอิทธิพลจาก "คัมภีร์พระธรรมศาสตร์" อันเป็นคัมภีร์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และมีพื้นฐานของวัฒนธรรมอินเดียโดยผ่านมาทางมอญ เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์และถูกแพร่หลายไปในดินแดนต่าง ๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กฎหมายของกรุงศรีอยุธยาที่มีการประกาศใช้ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893-1912) ก็ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เช่นกันและเมื่อได้มีการปรับปรุงกฎหมายในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็มีการตรากฎหมายเพิ่มเติม โดยยึดมูลคดีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นหลัก เรียกว่า "พระราชศาสตร์" รวมถึงการวินิจฉัยคดีความต่าง ๆ รวบรวมเป็นกฎหมายของแผ่นดิน เรียกว่า "พระราชนิติศาสตร์ หรือพระราชนิติคดี" ด้วยเหตุนี้ตัวบทกฎหมายที่ปรากฎในกฎหมายตราสามดวง จึงเป็นทั้งพระธรรมศาสตร์ พระราชศาสตร์ และ พระราชนิติศาสตร์หรือพระราชนิติคดีผสมผสานกันโดยมีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ เป็นแกนหลักที่สำคัญ

สาระสำคัญโดยรวมของกฎหมายตราสามดวงปรากฎให้เห็นถึงโครงสร้างของสังคมไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ที่เป็นสังคมยึดถือศักดินาเป็นหลัก กล่าวได้ว่า ศักดินาเป็นเครื่องกำหนดสิทธิ หน้าที่ความรับผิดชอบและฐานะของคนทุกกลุ่มในสังคม ระบบศักดินาจึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการจัดระบบสังคม โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอย่างกว้าง ๆ คือ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นผู้ถูกปกครอง

ชนชั้นผู้ปกครอง พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดในการปกครอง ผู้ใดจะล่วงละเมิดมิได้แม้พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งปวง แต่พระมหากษัตริย์ไทยก็ทรงปกครองบ้านเมืองโดยยึดหลักทศพิธราชธรรมมาแต่โบราณ

ชนชั้นผู้ถูกปกครอง ในกฎหมายตราสามดวง ได้แก่ ไพร่และทาส ซึ่งไพร่เป็นชนส่วนใหญ่ของสังคมเป็นสามัญชนทั่วไป กฎหมายบังคับให้ไพร่ต้องอยู่ใต้สังกัดมูลนาย มีสถานะเป็นสมบัติขอมูลนายและอยู่ในหมวดทรัพย์สินของมูลนายเช่นเดียวกับทาส ผู้ใดลักพาไพร่ของมูลนายไป ถือเป็นความผิดต้องรับโทษซึ่งไพร่มี 2 ประเภท ได้แก่ ไพร่หลวง และไพร่สม

นอกจากนี้กฎหมายตราสามดวงยังได้สะท้อนให้เห็นถึงการจัดกระบวนการยุติธรรม ในสมัยโบราณ ได้แก่ พระธรรมนูญ พระอัยการลักษณะรับฟ้อง พระอัยการลักษณะตุลาการ พระอัยการลักษณะพยาน พระอัยการลักษณะอุทธรณ์ และกฎหมายพิสูจน์ดำน้ำพิสูจน์ลุยเพลิง เป็นต้น จะเห็นว่า ศาลในอดีตกระจายอยู่ตามหน่วยราชการต่าง ๆ ไม่เป็นระบบเดียวกันไม่มีการแยกเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา และคดีปกครอง ดังเช่นปัจจุบันตัวบทกฎหมายถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไม่จำเป็นที่ประชาชนต้องล่วงรู้ เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะชนชั้นปกครองตุลาการ เท่านั้น ต่อมามีการปฏิรูปกฎหมายและการศาลครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จนนำไปสู่การยกเลิกกฎหมายตราสามดวงในที่สุด

ภาพปก